วันพฤหัสบดีที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2556

จักรวรรดิเปอร์เชีย (Persian Empire)


จักรวรรดิเปอร์เชีย (Persian Empire)




                เปอร์เซียเป็นชนเผ่าอารยันสาขาหนึ่ง อพยพเข้าไปตั้งถิ่นฐานทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของภูขาซา กรอส (Sagros) เหนืออ่าวเปอร์เซียขึ้นไปประมาณ 400 ไมล์
ในระยะเดียวกันกับพวกมีดส์ชนเผ่าเดียวกันอีกสาขาหนึ่งตั้งถิ่นฐาน ตอนแรกอยู่ในความปกครองของพวกมีดส์
                ประมาณ 50 ปี หลังจากที่อาณาจักรอัสซีเรียถึงกาลอวสาน ชนชาติเปอร์เซียกลุ่มหนึ่งเรียกตัวเองว่า อันชัน (Anshun) ได้ก่อตั้งอาณาจักเล็กๆขึ้น
มีปฐมกษัตริย์ทรงพระนามว่า
อาเคมีเนส (Achaemenes) แห่งราชวงศ์อาเคเมนิค (Achaemenid) ทำการปกครอง เปอร์เซียนเป็นชนเผ่าอารยัน
ที่มีความเจริญมากกว่าอารยันสาขาอื่น เพราะมีศาสดาชื่อ
โซโรแอสเตอร์ สั่งสอนศีลธรรมจรรยา และมีการจัดระเบียบการปกครองอย่างเรียบร้อยมาตั้งแต่สมัยต้นๆ

                
ชัยชนะของพระเจ้าไซรัสต่ออาณาจักรมีเดียอันแข็งแกร่างครั้งนั้น (หลังจากทำสงครามกันมาเป็นเวลา 5 ปี) ทำให้อาณาจักรอื่นๆซึ่งอยู่ใกล้เคียงความวิตก ประมาณ
555 ปีก่อนคริสตกาล กษัตริย์เปอร์เซียพระองค์หนึ่งทรงพระนามว่า พระเจ้าไซรัส ได้รวบรวมชนชาติเปอร์เซียที่กระจัดกระจายกันอยู่เข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
ทรงทำสงครามชนะพวกมีดส์และตั้งตนเป็นกษัตริย์ปกครองอาณาจักรมีเดีย
-เปอร์เซีย มีราชธานีอยู่ที่เมือง ซีโปลิส (persepolis)
จึงผนึกกำลังกันทำการต่อต้าน ชาติสำคัญๆได้แก่ลิเดีย แคลเดีย และอียิปต์ แต่ไม่สามารถต้านทานกองทหารม้าและกองทัพธนูอันเข้มแข็งของพระเจ้าไซรัสได้
พระเจ้าไซรัสทรงบุกตีได้นครซาร์ดีสของลิเดีย จับพระเจ้าครีซัสเป็นเชลย ตีได้ดินแดนตลอดเอเชียไมเนอร์และหัวเมืองกรีกในแถบนี้ เปอร์เซียจึงได้ครองอำนาจเหนือ
ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและมีอำนาจมากที่สุดในตะวันออกกลาง จากนั้นทรงกรีฑาทัพไปตีนครบาบิโลเนียใหม่ของพวกแคลเดีย
                พระเจ้าไซรัสทรงสิ้นพระชนม์ขณะทรงทำสงครามต่อสู้กับพวกเร่ร่อนทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเปอร์เซีย เมื่อพระเจ้าไซรัสมหาราชสิ้นพระชนม์แล้ว
พระโอสรนามว่า
แคมบิซิสได้ครองราชย์ต่อมา สมัยนี้พระเจ้าแคมบิซิส จักรวรรดิเปอร์เซียมีทหารแม่นธนูและกองทัพม้าที่ดีที่สุดในโลก อำนาจของจักวรรดิเปอร์เซีย
แผ่ขยายควบคุมไปทั่วโลกเมื่อพระเจ้าแคมบิซิสทรงตีได้อียิปต์ กองทัพเรือที่พระองค์ทรงจัดตั้งครั้งนั้นทำให้เปอร์เซียได้ชื่อว่าเป็นชาวเอเชียชาติแรกที่ครองอำนาจทางเรือ
ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน

ประวัติศาสตร์เปอร์เซีย
ขณะที่บาบิโลนครองความเป็นใหญ่อยู่ทางภาคใต้ของราชอาณาจักรเก่าของอัสซีเรีย พวกมีเดียครองความเป็นใหญ่อยู่ทางภาคเหนือ สองจักรวรรดินี้ตั้งอยู่คู่เคียงกันเป็นเวลานานประมาณเจ็ดสิบปีโดยไม่มีการสู้รบกันอย่างเปิดเผย
ในปี ก่อนค.ศ. 550 มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกิดขึ้น อัสทียาเกส (Astyages) แห่งมีเดียยกทัพไปต่อสู้กับพวกเอลาม ซึ่งตอนนั้นกษัตริย์ไซรัส (Cyrus) แห่งเปอร์เซียปกครองอยู่ การสู้รบกันครั้งนี้ปรากฎว่ากองทัพมีเดียปราชัยยับเยิน เพราะกษัตริย์ไซรัสทรงเดชานุภาพและเป็นที่นิยมรักใคร่ของประชาชนเกินกว่าที่จะเอาชนะพระองค์ได้ ไซรัสทรงสามารถขับพวกมีเดียให้ล่าทัพกลับ แล้วตามไปโจมตีถึงในดินแดนของชาวมีเดียจนได้ชัยชนะ อีกไม่นานไซรัสก็ตั้งตนเองเป็นกษัตริย์ในเอคบาทานา (Ecbatana) และอ้างว่าพระองค์มีอำนาจในจักรวรรดิมีเดีย
นาโบนิดัด (Nabonedus) แห่งบาบิโลนกลัวว่าไซรัสจะยกทัพเลยเข้ามาโจมตีจักรวรรดิของพระองค์ ซึ่งก็เป็นความจริงเช่นนั้น พระองค์จึงได้ร่วมกับผู้นำมิตรประเทศ ได้แก่ อามาซิส (Amasis) แห่งอียิปต์ และ โครเอซัส (Croesus) แห่งลิเดียจัดตั้งกองกำลังเพื่อป้องกันประเทศของพวกตน กษัตริย์ไซรัสบุกเข้ายึดซารดิส (Sardis) เมืองหลวงของลิเดียได้เป็นแห่งแรกในปี ก.ค.ศ. 547 พอถึงปี ก่อน ค.ศ. 539 ไซรัสทรงยกทัพเข้าโจมตีบาบิโลนโดยตรง เวลานั้นประชาชนชาวบาบิโลนไม่นิยมเลื่อมใสในตัวกษัตริย์นาโบนิดัด เพราะนอกจากพระองค์จะเป็นชาวอารัมที่มาจากเมืองฮารานซึ่งไม่ใช่เชื้อพระวงศ์แคลเดียแห่งบาบิโลนแล้ว พระองค์ก็ยังไม่ยอมสักการะเทพเจ้ามาร์ดุกอีกด้วย จึงทำให้พวกปุโรหิตของพระมาร์ดุกไม่ชอบพระองค์ นาโบนิดัดเลื่อมใสศรัทธาพระสิน (Sin) ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งดวงจันทร์ เทพองค์นี้มีวิหารอยู่ที่เมืองฮาราน ก่อนหน้านั้นหลายปี คือก่อนที่กษัตริย์ไซรัสจะยึดเอคบาทานาได้นาโบนิดัดปล่อยให้เบลชัสซาร์โอรสของพระองค์ปกครองประเทศแทน ผลที่ตามมาก็คือไม่มีการฉลองเทศกาลปีใหม่ติดต่อกันเป็นเวลานานหลายปีเพราะเทศกาลนี้กษัตริย์จะต้องเป็นผู้นำในพิธีรื้อฟื้นความเป็นผู้นำประเทศ เรื่องนี้เองที่ทำให้ประชาชนไม่พอใจนาโบนิดัดอย่างมาก ดังนั้นเองจึงไม่เตรียมตัวเตรียมใจเพื่อต่อสู้กับไซรัสอย่างเต็มกำลัง
ไซรัสรบชนะบาบิโลนที่เมืองโอปิส (Opis) บนฝั่งแม่น้ำไทกรีสเมื่อปี ก่อน ค.ศ. 539 และอีกไม่กี่วันต่อมาแม่ทัพของพระองค์ก็ยึดกรุงบาบิโลนได้สำเร็จโดยไม่มีการต่อสู้มากนัก นาโบนิดัดทรงหนีเอาตัวรอดแต่ก็ถูกจับได้ ชาวบาบิโลนต้อนรับกษัตริย์ไซรัสด้วยความปีติยินดีในฐานะที่ทรงเป็นวีรชนผู้ยิ่งใหญ่ของพวกเขาและผู้รับใช้ของพระมาร์ดุก เพื่อแสดงความจงรักภักดีต่อพระมาร์ดุกกษัตริย์ไซรัสจึงทรงรื้อฟื้นเทศกาลปีใหม่ขึ้นมาอีก และนำรูปปฏิมาของเทพเจ้าต่าง ๆ กลับไปไว้ในเทวสถานเดิมของใครของมัน หลังจากไซรัสได้บาบิโลนไว้ในความครอบครองแล้วไม่นาน บรรดาเจ้านายผู้ปกครองมณฑลต่างด้าวต่าง ๆ ก็พากันมาสวามิภักดิ์ จักรวรรดิเปอร์เซียตั้งขึ้นได้ด้วยการผนวกจักรวรรดิมีเดีย จักรวรรดิบาบิโลน พร้อมกับดินแดนอื่น ๆ ที่อยู่ห่างไกลเข้าด้วยกัน โดยมีกรุงเอาบาทานาเป็นเมืองหลวง

กษัตริย์ไซรัส(Cyrus)



นาโบนิดัด (Nabonedus)


จักรวรรดิเปอร์เซียตั้งอยู่ได้นานประมาณสองร้อยปี กษัตริย์องค์หลัง ๆ ไม่ใช่นักปกครองที่ดีเหมือนไซรัส อียิปต์และกรีกเป็นศัตรูตัวฉกาจของเปอร์เซีย โดยคัมบีเซส (Cambyses) โอรสของไซรัสปราบอียิปต์ได้สำเร็จในปี ก่อน ค.ศ. 525 แต่ประชาชนชาวอียิปต์ไม่เต็มใจอยู่ใต้ปกครองของเปอร์เซียจึงก่อการกบฏขึ้นบ่อย ๆ หลายครั้งก็ได้รับความช่วยเหลือจากประเทศกรีก ระหว่าง ก่อน  ค.ศ.401-342 อียิปต์ได้รับอิสรภาพอีกครั้ง แต่ก็ต้องสูญเสียไปอีกก่อนที่จักรวรรดิเปอร์เซียจะถูกโค่นลง

ประเทศกรีกสร้างความเดือดร้อนให้แก่เปอร์เซียมากกว่า และเปอร์เซียก็ไม่เคยเอาชนะกรีกได้เลยแม้แต่ครั้งเดียว กษัตริย์เซอร์ซิสที่ 1 (Xerxis l) เป็นกษัตริย์แห่งเปอร์เซียองค์แรกที่พยายามจะพิชิตกรีกให้ได้ พระองค์ยกทัพเรือไปรบกับกรีกครั้งแรกในปี ก่อน ค.ศ. 480 แรก ๆ ก็ประสบความสำเร็จอย่างดียิ่ง ถึงกับสามารถยึดกรุงเอเธนส์ซึ่งเป็นเมืองสำคัญของกรีกได้ แล้วเผาวัดวาอารามและอาคารบ้านเรือนของประชาชนที่ตั้งอยู่บนเนินเขา อะโครโปลิส แต่อีกไม่นานกองทัพกรีกก็สามารถทำลายเรือรบส่วนใหญ่ของเปอร์เซีย กองทัพของเซอร์ซิสที่ 1 พ่ายแพ้ยับเยิน พระองค์เองก็ถูกปลงพระชนม์
อาร์ทาเซอร์ซิสที่ 1 (Artaxerxes l) ทำสงครามกับกรีกต่อไป แต่ในที่สุดก็ยอมทำสัญญาสงบศึกกันในปี ก่อน ค.ศ.449 หลังจากนั้นพวกกรีกก็รบพุ่งกันเอง เปอร์เซียจึงล่ากลับไปเฝ้าดูพวกกรีกฉีกเนื้อกันเองออกเป็นชิ้น ๆ ในสงครามที่เปโลโปนนีเชียน(Peloponnesian War ก่อน ค.ศ. 431-404) ตอนนั้นไม่จำเป็นที่เปอร์เซียต้องเข้าไปแทรกแซง ชาวกรีกเอาแต่รบกันเองจนไม่ทำความเดือดร้อนให้แก่จักรวรรดิเปอร์เซีย แต่ผลสุดท้ายก็สร้างความพินาศให้แก่เปอร์เซียอยู่ดี ทันทีที่เลิกทำสงครามกันเอง พวกกรีกก็เริ่มก่อกวนสร้างความเดือดร้อนให้แก่บรรดาผู้ปกครองของเปอร์เซีย เมื่ออียิปต์เข้าร่วมผสมโรงด้วยก็ทำให้ยิ่งเดือดร้อนขึ้นกว่าเดิม ในที่สุดอเล็กซานเดอร์มหาราช (Alexander the Great) แห่งประเทศกรีกก็ทำลายอาณาจักรเปอร์เซียได้สำเร็จ แล้วทรงครอบครองโลกสมัยโบราณไว้ได้ทั้งหมดตั้งแต่แม่น้ำดานูบจรดแม่น้ำอินดัสและเลยไปอีก

 ศาสนาของชาวเปอร์เซีย



ศาสนาดั้งเดิมของชาวเปอร์เซีย เป็นพิธีกรรมที่เกี่ยวกับการเลี้ยงสัตว์และกสิกรรมแบบเรียบง่าย แต่ต่อมาก็มีศาสนาใหม่ ศาสนาโซโรแอสเตอร์เกิดขึ้น ศาสนานี้พัฒนาขึ้นผลงานของชายผู้หนึ่งชื่อว่า ซาราธุสตรา (Zarathustra) หัวใจของศาสนาโซโรแอสเตอร์อยู่ที่หนังสือศักดิ์สิทธิ์หรือพระคัมภีร์ เช่นเดียวกันกับศานายูดาย อิสลาม คริสต์ศาสนาและศาสนาของชาวตะวันออกอีกหลายศาสนา หนังสือศักดิ์สิทธิ์เล่มนี้เรียกว่าพระคัมภีร์อาเวสตา (Avesta) ศาสนาโซโรแอสเตอร์มีลักษณะเป็นลัทธิทวินิยม สานุศิษย์ของศาสนานี้เชื่อในอำนาจสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งดีฝ่ายหนึ่งชั่ว พวกเขาเชื่อว่าเทพเจ้าแห่งความดีเป็นเทพผู้สูงสุด ชื่อออร์มาซด์ (Ormazd) เทพองค์นี้มีพวกอัครเทวทูตและเทวทูตทั้งหลายเป็นบริวาร และเชื่อว่ามีเทพแห่งความชั่วองค์หนึ่งชื่อ อาห์ริมาน (Ahriman) มีภูตผีปีศาจเป็นบริวาร ศาสนาโซโรแอสเตอร์สอนว่า มนุษย์ควรจะปรนนิบัติรับใช้เทพแห่งความดี และทำตามประมวลกฎหมายอันสูงส่งซึ่งแสดงออกมาเป็นค่านิยมทางศีลธรรมแบบถ่อมตัว ศิษยานุศิษย์ของศาสนานนี้มีความเชื่อมั่นว่า ความตายไม่ใช่การสิ้นสุดคนชอบธรรมจะได้รับชีวิตใหม่เมื่อตอนที่เทพออร์มาซด์ทำสงครามชนะ

อารยธรรมของชาวเปอร์เซีย


อารยธรรมเปอร์เซีย อยู่ในช่วง 1,000 ปีก่อนคริสตศักราช หลังจากที่อาณาจักรแอสสิเรียได้เสื่อมลง ชาวเปอร์เซียซึ่งเป็นชนชาติอินโดยูโรเปียนที่อาศัยอยู่ทางตอนเหนือ ได้สร้างอาณาจักรอยู่ทางตอนเหนือเทือกเขาตะวันออก กษัตริย์ราชวงศ์อะเคเมเนียนของเปอร์เซียได้แผ่ขยายอำนาจเข้าปกครองดินแดน ต่างๆ ด้วยความบ้าคลั่ง แต่ในยุคนี้ได้มีพัฒนาการที่ทันสมัยมากขึ้น มีการผลิตเงินเหรียญขึ้นใช้ นอกจากนั้นยังได้มีการดัดแปลงตัวอักษรคูนิฟอร์มเป็นตัวอักษรของเปอร์เซีย จัด ระบบการปกครอง โดยแบ่งเป็นจังหวัด หรือมณฑล เรียกว่า แซแทรปปี (Satrapy) นอกจากในด้านเศรษฐกิจที่เจริญรุ่งเรืองแล้ว ชาวเปอร์เซียยังได้สร้างถนนใช้คมนาคมและถือว่าเป็นถนนที่ดีที่สุดในยุค โบราณ และนอกจากนั้นยังมีไปรษณีย์ติดต่อสื่อสารทางราชการอีกด้วย 
สถาปัตยกรรม - สถาปัตยกรรมของชาวเปอร์เซียได้รับอิทธิพลมาจากอียิปต์ และกรีก การก่อสร้างได้นำเอาวัสดุหลายชนิดมาใช้อย่างเหมาะสม เช่น ใช้หินเป็นพื้น ผนังใช้อิฐและนำเอาเสาไม้มาใช้ตกแต่ง ทำโครงเพดาน มีการตกแต่งหัวเสาและแกะเสาเป็นร่องคล้ายของกรีก

 
ประติมากรรม - งานประติมากรรมที่สำคัญของเปอร์เซีย คือ การแกะสลักหัวเสาเป็นรูปสัตว์ต่างๆ มีความสวยงามและประณีตนอกจากนั้นยังรู้จักนำทองแดงและโลหะต่างๆ มาประดับแต่งอย่างวิจิตรพิสดาร  

ประติมากรรมที่นิยมคือแบบนูนต่ำโดยเฉพาะการแกะสลักฐานบันไดกำแพง หรือฝาผนัง เรื่องราวส่วนใหญ่เป็นภาพกษัตริย์ ขุนนาง และข้าทาสบริพารหรือพิธีกรรมต่างๆ ผลงานที่โดดเด่นมักจะเป็นผลงานประเภทประณีตศิลป์ ซึ่งจะนำสัตว์มาดัดแปลงประยุกต์เป็นสิ่งของเครื่องใช้
จิตรกรรม - ผลงานด้านจิตรกรรมของเปอร์เซียมีไม่มากนัก ส่วนมากจะเป็นการนำไปประยุกต์ ใช้กับการตกแต่งผนังภายในงานสถาปัตยกรรม รูปแบบจะมีลักษณะคล้ายกับแอสสิเรีย ศิลปกรรมเปอร์เซียเริ่มเสื่อมลงเมื่อพวกมุสลิมหรืออาหรับเข้ามามีอำนาจ ลักษณะงานศิลปะจึงได้เปลี่ยนแปลงไป

อ้างอิง
http://writer.dek-d.com/abjmp-social/story/viewlongc.php?id=773121&chapter=17

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น