วันศุกร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2556

การเขียนรายงานทางวิชาการ

             การเขียนรายงานทางวิชาการ  เป็นเรื่องสำคัญยิ่งสำหรับการเรียน ในระดับอุดมศึกษา  ทั้งนี้เนื่องจากการศึกษาในระดับนี้จะเน้นให้ผู้เรียนรู้จักศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง  สามารถแสวงหาความรู้   ฝึกฝนการวิเคราะห์และสังเคราะห์ความรู้    รวมทั้งสามารถนำเสนอผลการศึกษาเรียนรู้ของตนเองได้      นักศึกษาจะเขียนรายงานทางวิชาการได้อย่างไร   รายงานลักษณะใดที่จัดว่าเป็นรายงานที่ดี    มีระเบียบวิธีการอะไรบ้างที่จะต้องเรียนรู้ก่อนทำรายงาน   ในบทความนี้จะให้คำตอบที่เป็นหลักปฏิบัติของคำถามเหล่านั้น   เพื่อให้นักศึกษาได้นำไปใช้เป็นแนวทางเบื้องต้นในการเขียนรายงาน

ลักษณะของรายงานที่ดี
รายงานที่ดีควรมีลักษณะที่สำคัญดังต่อไปนี้ 
1.  รูปเล่ม  ประกอบด้วยหน้าสำคัญต่าง ๆ ครบถ้วน  การพิมพ์ประณีตสวยงาม  การจัดย่อหน้าข้อความเป็นแนวตรงกัน    ใช้ตัวอักษรรูปแบบ (Font) เดียวกันทั้งเล่ม  จัดตำแหน่งข้อความและรูปภาพได้สอดคล้องสัมพันธ์ และอ่านง่าย
2.  เนื้อหา  เป็นการนำเสนอผลการศึกษาค้นคว้าที่น่าสนใจของผู้เขียน    แสดงถึงข้อเท็จจริงอย่างถูกต้อง  เป็นปัจจุบันทันสมัย   ครอบคลุมเรื่องได้อย่างสมบูรณ์  แสดงให้เห็นถึงความเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งของผู้เขียน   นอกจากแสดงความรู้ในข้อเท็จจริงแล้ว ผู้เขียนควรแสดงถึงความคิดสร้างสรรค์  นำเสนอความรู้หรือประสบการณ์ใหม่ๆ ทรรศนะใหม่ ๆ    หรือแนวทางแก้ปัญหาในเรื่องที่กําลังศึกษาอยู่     ด้วยการเรียบเรียงเนื้อหาเป็นไปตามลำดับไม่ซ้ำซากวกวน    แสดงให้เห็นความสามารถในการกลั่นกรอง  สรุปความรู้และความคิดที่ได้จากแหล่งต่าง ๆ
3.  สำนวนภาษา  เป็นภาษาที่นิยมโดยทั่วไป   สละสลวย  ชัดเจน  มีการเว้นวรรคตอน สะกดการันต์ถูกต้อง  ลำดับความได้ต่อเนื่อง  และสัมพันธ์กันตลอดเรื่อง
การอ้างอิงและบรรณานุกรมถูกต้องตามแบบแผน   มีการแสดงหลักฐานที่มาของข้อมูลอย่างถูกต้องละเอียดถี่ถ้วน  เมื่อกล่าวถึงเรื่องใดก็มีหลักฐานอ้างอิงเพียงพอและสมเหตุสมผล     เลือกใช้ข้อมูลจากแหล่งอ้างอิงที่เชื่อถือได้   ซึ่งการแสดงหลักฐานอ้างอิงและบรรณานุกรมจะบ่งบอกถึงคุณภาพทางวิชาการของรายงานนั้น

ข้อควรคำนึงในการทำรายงาน
วัตถุประสงค์ของอาจารย์ผู้สอนที่กำหนดให้นักศึกษาทำรายงาน  ก็เพื่อให้รู้จักการแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง   ซึ่งการเรียนรู้ด้วยตนเองจะทำให้ผู้เรียนสามารถติดตามความรู้ได้ทันกับการเปลี่ยนแปลงและความก้าวหน้าทางวิชาการ  ช่วยให้จดจำเรื่องราวที่ตนศึกษาได้อย่างแม่นยำและยาวนาน   เพื่อให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ดังกล่าว  อาจารย์ผู้สอนจึงมักจะพิจารณาประเมินคุณค่าของรายงานดังนี้
1.  ต้องไม่ใช่ผลงานที่คัดลอกของผู้อื่น (สำคัญมาก)  
2. ต้องเป็นผลงานที่แสดงข้อเท็จจริงอย่างถูกต้องครบถ้วน  (คือมีเนื้อหาสาระที่สามารถตอบคำถาม  ใคร  ทำอะไร  ที่ไหน เมื่อไร ได้)  และมีเนื้อหาสาระที่แสดงเหตุผล แสดงความคิดหรือทรรศนะของผู้เขียน ที่เป็นผลจากการได้ศึกษาค้นคว้าเรื่องราวเหล่านั้น   (คือมีเนื้อหาที่ตอบคำถาม  ทำไม- เพราะเหตุใด   ทำอย่างไร) 
3. ต้องเป็นผลงานที่จัดรูปเล่มอย่างประณีต  อ่านทำความเข้าใจเนื้อหาได้ง่าย    รายงานที่ดีจึงต้องจัดรูปเล่มให้อ่านง่าย  เรียบเรียงเนื้อหาให้เป็นลำดับ  กำหนดหัวข้อเรื่องไม่ซ้ำซ้อนวกวน (ต้องวางโครงเรื่องให้ดี)
                 4.  ต้องเป็นผลงานที่แสดงถึงจรรยาบรรณของนักวิชาการที่ดี  คือมีการอ้างอิงและทำบรรณานุกรมที่ถูกต้องตามแบบแผน  แสดงหลักฐานที่มาอย่างถูกต้องละเอียดถี่ถ้วน

ขั้นตอนการทำรายงาน
การทำรายงานให้ประสบความสำเร็จ  ควรวางแผนดำเนินการเป็นลำดับขั้นตอน ดังนี้
1.  กำหนดเรื่อง
การกำหนดเรื่องที่จะทำรายงาน  ต้องเกิดจากความต้องการอยากรู้ในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ควรเป็นเรื่องที่นักศึกษาสนใจ    หรือมีความรู้ในเรื่องนั้นอยู่บ้างแล้ว    ขอบเขตของเรื่องไม่ควรกว้างหรือแคบเกินไป   เพราะถ้ากว้างเกินไปจะทำให้เขียนได้อย่างผิวเผิน หรือถ้าเรื่องแคบเกินไปอาจจะไม่มีข้อมูลเพียงพอที่จะเขียนได้   ในการกำหนดเรื่องควรคิดโครงเรื่องไว้คร่าว ๆ  ว่าจะมีเนื้อหาในหัวข้อใดบ้าง 
2.  สำรวจแหล่งข้อมูล
แหล่งข้อมูลเบื้องต้นควรเริ่มที่ห้องสมุดและอินเทอร์เน็ต  ในการสำรวจควรใช้เครื่องมือที่แหล่งนั้นจัดเตรียมไว้ให้ เช่นห้องสมุดควรใช้  บัตรรายการ  บัตรดัชนีวารสาร  และ โอแพค (OPAC)  เป็นต้น  การค้นทางอินเทอร์เน็ตควรใช้เว็บไซต์ Google, Yahoo  เป็นต้น  ต้องเรียนรู้วิธีใช้เครื่องมือและคำสั่งในการสืบค้นให้เข้าใจดีเสียก่อน  จึงจะช่วยให้ค้นคว้าได้รวดเร็วและได้เนื้อหาสาระที่ครบถ้วน     เมื่อได้ข้อมูลที่ต้องการแล้วจะต้องจัดเก็บรวบรวมให้เป็นระบบ  เป็นหมวดหมู่    เอกสารที่รวบรวมได้ทุกรายการต้องเขียนบรรณานุกรมบอกแหล่งที่มาไว้ด้วย  เพื่อใช้ค้นคืนไปยังแหล่งเดิมได้อีกในภายหลัง
3.  กำหนดโครงเรื่อง
การกำหนดโครงเรื่อง เป็นการกำหนดขอบข่ายเนื้อหาของรายงานว่าจะให้มีหัวข้อเรื่องอะไรบ้าง  โครงเรื่องที่ดีจะต้องมีสาระสำคัญที่ตอบคำถาม  5W1H ได้ครบถ้วน  กล่าวคือ เนื้อหาของรายงานควรตอบคำถามต่อไปนี้ได้   เช่น     ใครเกี่ยวข้อง (Who)  เป็นเรื่องอะไร (What)  เกิดขึ้นเมื่อไร (When)  ที่ไหน (Where)   ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น--เพราะเหตุใด (Why)   เรื่องนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร หรือมีวิธีทำอย่างไร (How) 
การคิดโครงเรื่องอาจใช้ผังความคิด (Mind map) ช่วยในการกำหนดประเด็นหัวข้อใหญ่หัวข้อรอง   ส่วนการจัดเรียงหัวข้อให้มีความสัมพันธ์เป็นลำดับต่อเนื่องที่ดี อาจใช้ผังความคิดแบบก้างปลา (Fish bone diagram) หรือแบบต้นไม้ (Tree diagram)   จะช่วยให้เห็นความสัมพันธ์ของแนวคิดได้ง่ายขึ้น    การตั้งชื่อหัวข้อควรให้สั้นกระชับได้ใจความครอบคลุมเนื้อหาในตอนนั้น ๆ
4.  รวบรวมข้อมูลตามโครงเรื่อง 
               เมื่อกำหนดโครงเรื่องแน่ชัดดีแล้ว  จึงลงมือสืบค้นและรวบรวมข้อมูลตามบรรณานุกรมที่รวบรวมไว้ในขั้นตอนการสำรวจ     การรวบรวมอาจจะถ่ายเอกสารจากห้องสมุด หรือพิมพ์หน้าเอกสารที่ค้นได้จากอินเทอร์เน็ต  เสร็จแล้วนำข้อมูลที่รวบรวมได้มาแยกตามหัวข้อเรื่องที่กำหนดไว้
5.  อ่านตีความ สังเคราะห์ข้อมูล และจดบันทึก
การอ่านให้เน้นอ่านจับใจความสำคัญของเรื่อง  เพื่อดึงเนื้อหาที่สอดคล้องกับประเด็น แนวคิดต่างๆ ตามโครงเรื่องที่กำหนดไว้   ทำการบันทึกเนื้อหาลงในบัตรบันทึก  เสร็จแล้วนำบัตรบันทึกมาจัดกลุ่มตามประเด็นแนวคิด เพื่อใช้ในการเรียบเรียงเนื้อหาของรายงานต่อไป    หรืออาจทำเครื่องหมายตรงใจความสำคัญ (ขีดเส้นใต้) แทนการทำบัตรบันทึก  (กรณีเป็นหนังสือของห้องสมุดไม่ควรขีดเขียนหรือทำเครื่องหมายใดๆ)
6.  เรียบเรียงเนื้อหา
เนื้อหาสาระที่นำมาเรียบเรียงต้องเป็นเนื้อหาที่ได้จากการประเมิน วิเคราะห์ และสังเคราะห์จากขั้นตอนที่ 5 มาแล้ว   (การวิเคราะห์และสังเคราะห์สารสนเทศ   สามารถศึกษาและฝึกปฏิบัติได้ในรายวิชาสารสนเทศและการศึกษาค้นคว้า)

ส่วนประกอบของรายงาน
รายงานประกอบด้วยส่วนสำคัญ 4 ส่วนคือ 1) ส่วนนำเรื่อง ได้แก่ ปกนอก  ปกใน  คำนำ สารบัญ  2) ส่วนเนื้อเรื่อง ประกอบด้วย บทนำ  เนื้อเรื่อง และบทสรุป  3) ส่วนอ้างอิง ประกอบด้วยรายการอ้างอิง บรรณานุกรม  และ  4) ภาคผนวก  ซึ่งแต่ละส่วนควรมีสาระสำคัญดังนี้
1. ปกนอกและปกใน  ปกนอกใช้กระดาษอ่อนที่หนากว่าปกในซึ่งอาจเลือกสีได้ตามต้องการ  ไม่ควรมีภาพประกอบใด ๆ   ส่วนปกในและเนื้อเรื่องให้ใช้กระดาษขาวขนาด A4 ความหนาไม่ต่ำกว่า 80 แกรม   ปกในพิมพ์ข้อความเช่นเดียวกับปกนอก    ข้อความที่ปกนอกปกในประกอบด้วย  ชื่อเรื่องของรายงาน  ชื่อผู้เขียน  รหัสประจำตัว  ชื่อวิชา   ชื่อสถานศึกษา  และช่วงเวลาที่ทำรายงาน
2.  คำนำ   กล่าวถึงความสำคัญ วัตถุประสงค์ ความเป็นมา  ประเด็นหัวข้อเนื้อหาในรายงานเพื่อให้ผู้อ่านเกิดความสนใจอยากติดตามเรื่อง ซึ่งอาจเป็นปัญหา ประโยชน์หรือผลกระทบอย่างไรต่อผู้อ่านและสังคม  อาจกล่าวขอบคุณหรือบอกแหล่งที่มาของข้อมูล เพื่อให้เกิดความน่าเชื่อถือในข้อมูลที่นำเสนอ  สุดท้ายระบุชื่อ-สกุล ผู้เขียนรายงานและวันเดือนปีในการทำรายงาน
3.   สารบัญ   ระบุหัวข้อใหญ่ หัวข้อรอง (ถ้ามี) และเลขหน้า     ใช้จุดไข่ปลาลากโยงจากหัวข้อไปยังเลขหน้าให้ชัดเจน   การพิมพ์สารบัญต้องจัดย่อหน้าและเลขหน้าให้ตรงกัน
4.     เนื้อเรื่อง   เนื้อเรื่องประกอบด้วยส่วนสำคัญ 3 ส่วนคือ  ส่วนนำเรื่อง  ส่วนเนื้อเรื่อง  และส่วนสรุป  
ส่วนนำเรื่องหรือบทนำ  ต้องเขียนให้ผู้อ่านเกิดความสนใจอยากที่จะอ่านเนื้อหาต่อไป    บทนำอาจกล่าวถึง ความสำคัญ  บทบาท  ปัญหา  ผลกระทบ  วัตถุประสงค์  ขอบเขตเนื้อหา  หรือประโยชน์ที่ผู้อ่านจะได้รับ เป็นต้น
ส่วนเนื้อเรื่องเป็นส่วนที่แสดงข้อเท็จจริง  ข้อเสนอแนะ  ความคิดเห็น หรือผลสรุปที่ได้จากการศึกษาค้นคว้าของผู้เขียน   การนำเสนอเนื้อหาจะต้องมีหลักฐานอ้างอิง มีข้อมูลสถิติ ภาพประกอบ ตาราง แผนที่ แผนภูมิ ตามความจำเป็น  ซึ่งจะทำให้เนื้อเรื่องมีความน่าเชื่อถือและเข้าใจได้ง่าย
ส่วนสรุป เป็นส่วนชี้ประเด็นสำคัญที่ผู้เขียนต้องการบอกผู้อ่าน  ผู้เขียนอาจสรุปเนื้อหาตามลำดับหัวข้อใหญ่แต่ละหัวข้อทั้งหมดจนจบ  โดยสรุปหัวข้อละ 1 ย่อหน้า   หรือเลือกสรุปเฉพาะประเด็นสำคัญสั้นๆ ก็ได้  ที่สำคัญในการสรุปจะต้องไม่นำเสนอประเด็นเนื้อหาใหม่อีก
5.  การอ้างอิง   การอ้างอิงจะแทรกเป็นวงเล็บไว้ในเนื้อเรื่อง   เพื่อบอกแหล่งที่มาของข้อมูล  เป็นการยื่นยันความถูกต้องและแสดงความน่าเชื่อถือของข้อมูล   การอ้างอิงให้ระบุชื่อผู้แต่ง  ปีพิมพ์  และเลขหน้า   หรือที่เรียกว่าอ้างอิงแบบ  นาม- ปี
6.  บรรณานุกรม  หน้าบรรณานุกรมจะอยู่ต่อจากส่วนเนื้อเรื่อง   โดยให้รายละเอียดเกี่ยวกับหนังสือที่นำมาอ้างอิงไว้ในรายงานได้แก่  ชื่อผู้แต่ง ปีพิมพ์  ชื่อบทความ  ชื่อหนังสือ  ครั้งที่พิมพ์  และสถานที่พิมพ์  เป็นต้น 
                   การเขียนบรรณานุกรมมีรูปแบบที่เป็นสากลหลายรูปแบบ  แต่ที่ใช้กันแพร่หลายในปัจจุบันมีอยู่ 2 แบบคือ แบบ MLA (Modern Language Association Style) ซึ่งนิยมใช้ในสาขามนุษยศาสตร์  และแบบ  APA (American Psychological Association Style) ซึ่งนิยมใช้ในสาขาวิทยาศาสตร์และสังคมศาสตร์     ในที่นี้จะแนะนำการเขียนบรรณานุกรมแบบ  APA   เพื่อให้นักศึกษาใช้เป็นหลักในการเขียนบรรณานุกรมประกอบการทำรายงานทางวิชาการ
                การเขียนบรรณานุกรมตามรูปแบบ APA  มีหลักเกณฑ์กำหนดแยกตามชนิดของสื่อแต่ละประเภทดังนี้
หนังสือ
               รูปแบบ:  ชื่อผู้แต่ง.  (ปีพิมพ์).  ชื่อหนังสือ  (ครั้งที่พิมพ์).  สถานที่พิมพ์ : สำนักพิมพ์

                                   อุทัย  หิรัญโต. (2531). หลักการบริหารบุคคล. กรุงเทพฯ : โอเดียนสโตร์.
                                   Baxter, C. (1997). Race equality in health care and education.
                                                 Philadelphia : Ballière Tindall.
วารสาร  นิตยสาร         
                             รูปแบบ: ชื่อผู้แต่ง.  (ปีพิมพ์).  ชื่อบทความ.  ชื่อวารสาร, ปีที่(ฉบับที่), เลขหน้า.                                         
                                   สำนักงานเกษตรและสหกรณ์ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ. (2537).  ความรู้ทั่วไป
                                                เกี่ยวกับเห็ดพิษ.  เกษตรก้าวหน้า, 9(2), 45-47
                                   Klimoski, R., & Palmer, S. (1993). The ADA and the hiring process in
                                                organizations. Consulting Psychology Journal: Practice and
                                                Research, 45(2), 10-36.
หนังสือพิมพ์   
                             รูปแบบชื่อผู้แต่ง.  (ปี, เดือน วัน).  ชื่อบทความ.  ชื่อหนังสือพิมพ์, หน้า

                                   สุนทร  ไชยชนะ.  (2551, กุมภาพันธ์ 25).  หนองหานสกลนครวันนี้.  มติช, หน้า 10.
                                   Brody, J. E. (1995, February 21). Health factor in vegetables still elusive.  
                                                New York Times, p. C1.
                   วิทยานิพนธ์
                             รูปแบบ: ชื่อผู้แต่ง. (ปี).  ชื่อวิทยานิพนธ์.  วิทยานิพนธ์ ระดับปริญญา สาขาวิชา, สถาบัน.

                                   จิราภรร์ ปุญญวิจิตร. (2547). การศึกษาความเป็นไปได้ในการบริหารจัดการ
                                                ในโรงเรียนที่จัดการเรียนการสอนระบบนานาชาติระดับชั้นอนุบาลใน
                                                จังหวัดพระนครศรีอยุธยาตามความต้องการของผู้ปกครอง.  วิทยานิพนธ์
                                                ครุศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารการศึกษา, มหาวิทยาลัยราชภัฏ
                                                                พระนครศรีอยุธยา.

อินเทอร์เน็ต

                             รูปแบบ:    ชื่อผู้แต่ง.  (ปี, เดือน วัน).  ชื่อบทความ.  ค้นเมื่อ วัน เดือน ปี  จาก URL


                                   ธนู  บุญญานุวัตร. (2545).  การสืบค้นสารสนเทศทางอินเทอร์เน็ต.  ค้นเมื่อ 
                                                6 ธันวาคม 2551 จาก http://www.aru.ac.th/research.html.
                                   American Psychological Association. (1999, June 1). Electronic preference
                                                formats recommended by the American Psychological Association.
                                                Retrieved July 18, 1999, from http://www.apa.org/journals/ webref.html

การพิมพ์รายงาน
รูปเล่มรายงานที่สวยงามประณีต ชวนอ่านและอ่านง่ายนั้น  จะต้องคำนึงถึงการจัดวางหน้า ระยะขอบพิมพ์  การย่อหน้า  การใช้ตัวอักษร  ซึ่งมีหลักเกณฑ์ให้ถือปฏิบัติดังนี้   
พิมพ์รายงานด้วยเครื่องเลเซอร์  ตัวอักษรที่ใช้พิมพ์ให้ใช้ตัวอักษร Angsana UPC  ขนาด  16 ปอยท์  ใช้กระดาษมาตรฐานขนาด A4 ไม่มีกรอบไม่มีเส้น หมึกพิมพ์สีดํา
1.   จัดระยะขอบกระดาษให้ขอบกระดาษบนและซ้ายห่าง 1.5 นิ้ว ขอบกระดาษล่างและขวาห่าง 1 นิ้ว    การจัดขอบข้อความด้านขวาไม่จำเป็นต้องจัดตรงทุกบรรทัด 
2.   การย่อหน้า ให้ย่อหน้าที่ 1 เว้นระยะจากขอบพิมพ์  7 ระยะตัวอักษรพิมพ์ตรงอักษรตัวที่ 8   ย่อหน้าต่อ ๆ ไป ให้เว้นเข้าไปอีกย่อหน้าละ 3  ตัวอักษร  คือย่อหน้าที่ 2  พิมพ์ตรงอักษรตัวที่ 11  และย่อหน้าที่ 3  พิมพ์ตรงอักษรตัวที่ 14  เป็นต้น 
3. ชื่อบท ให้พิมพ์กลางหน้ากระดาษ (ได้แก่  คํานํา  สารบัญ  บทที่ 1..   บรรณานุกรม)   ชื่อบทใช้อักษร Angsana UPC  ขนาด  18 ปอยท์    เว้นบรรทัดระหว่างชื่อบทกับข้อความที่เป็นเนื้อหา 1 บรรทัด (คือพิมพ์ชื่อบทแล้วเคาะEnter 2 ครั้ง)
4.  หัวข้อใหญ่ ให้พิมพ์ชิดขอบพิมพ์ด้านขวา และทำตัวหนา-ดำ    ส่วนหัวข้อรองพิมพ์ตรงย่อหน้าที่ 1  (ตรงอักษรตัวที่ 8)  หากมีหัวข้อย่อย ๆ ภายใต้หัวข้อรองให้พิมพ์ตรงย่อหน้าที่ 2, 3…. ตามลำดับ
บรรณานุกรมให้จัดพิมพ์เรียงตามลำดับตัวอักษร   เรียงบรรณานุกรมภาษาไทยก่อนภาษาอังกฤษ   บรรณานุกรมแต่ละรายการให้พิมพ์ชิดขอบพิมพ์ด้านซ้าย (ไม่ย่อหน้า)  กรณีพิมพ์ไม่จบในบรรทัดเดียว  ให้พิมพ์ต่อตรงย่อหน้าที่ 1  หรืออักษรตัวที่ 8

                    การทำรายงานทางวิชาการอย่างเป็นขั้นตอน โดยเริ่มจาก  1) กำหนดเรื่อง  2) สำรวจแหล่งข้อมูล เพื่อค้นหาข้อมูลเบื้องต้นมาเป็นแนวทางในการ  3) กำหนดโครงเรื่อง   4) การรวบรวมข้อมูลตามโครงเรื่อง  5) การอ่านวิเคราะห์และสังเคราะห์  แล้วจึงลงมือ 6) เขียนรายงาน  จะช่วยลดความยุ่งยากและช่วยให้การทำรายงานสำเร็จได้โดยง่าย    

รายงานทางวิชาการที่ดี  จะพิจารณากันที่  รูปเล่ม  เนื้อหา  การเขียนอธิบายความชัดเจน  เข้าใจง่าย   มีการแสดงหลักฐานอ้างอิงและบรรณานุกรม ที่มาของข้อมูลอย่างละเอียดถี่ถ้วน ถูกต้องตามแบบแผน  
                 ดังนั้น การประเมินคุณค่าของรายงานจึงพิจารณาที่ความสามารถในการคิดวิเคราะห์และการสังเคราะห์ความรู้ของผู้ทำรายงาน     รายงานที่ดีจะต้องแสดงเนื้อหาสาระข้อเท็จจริงอย่างถูกต้อง   แสดงความคิดหรือทัศนะของผู้เขียนอย่างมีเหตุผล  และที่สำคัญอย่างยิ่งคือ ต้องเป็นผลงานที่เกิดจากการศึกษาค้นคว้าของนักศึกษาเอง  ซึ่งมิใช่ผลงานที่คัดลอกจากผู้อื่น


อ้างอิง

ประเทศอิสราเอล


               
                อิสราเอลคือ ประเทศและประชาชน ประวัติศาสตร์ของชาวยิวและความเป็นมาของพวกเขาในดินแดนอิสราเอลมีมานานกว่า 3,500 ปี บนผืนแผ่นดินนี้ วัฒนธรรมเอกลักษณ์ของชาติและศาสนาได้ถือกำเนิดขึ้น ณ ที่แห่งนี้ หลักฐานการดำรงอยู่ของชาวยิว มีปรากฏอยู่เป็นเวลานานนับศตวรรษ แม้เมื่อประชาชนส่วนใหญ่ถูกบังคับให้ย้ายถิ่นฐานไปแล้วก็ตาม และเมื่อมีการตั้งรัฐอิสราเอลขึ้นมาเมื่อ พ.ศ.2491 เอกราชของชาวยิวที่สูญหายไปกว่า 2,000 ปีมาแล้ว ก็ได้ฟื้นคืนมาอีกครั้งหนึ่ง



สถานที่ตั้ง 
                อิสราเอลเป็นประเทศในตะวันออกกลาง อยู่ทางทิศตะวันออกของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน มีพรมแดนติดกับเลบานอน ซีเรีย จอร์แดนและอียิปต์ ที่ตั้งของประเทศเป็นจุดเชื่อของสามทวีป คือ ยุโรป เอเชีย และอาฟริกา 

สภาพภูมิประเทศ 
               อิสราเอลมีรูปร่างแคบและยาว มีความยาวประมาณ 290 ไมล์ (470 กิโลเมตร) และมีส่วนกว้างที่สุดประมาณ 85 ไมล์ (135 กิโลเมตร)
แม้ว่าจะมีขนาดเล็กแต่อิสราเอลก็มีลักษณะทางภูมิประเทศหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นป่าไม้บนที่ราบสู และหุบเขาที่เขียวชอุ่มอันอุดมสมบูรณ์ หรือทะเลทรายบนภูเขาสูง อิสราเอลมีทั้งที่ราบชายฝั่งทะเลและหุบเขาจอร์แดน ที่มีลักษณะแบบโซนร้อน รวมทั้งทะเลสาบเดดซีซึ่งเป็นจุดที่ต่ำที่สุดของโลกด้วย ครึ่งหนึ่งของประเทศเป็นพื้นที่แห้งแล้ง

ภูมิอากาศ 
                อิสราเอลมีแสงแดดตลอดปี ฤดูฝนเริ่มตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ถึงมีนาคม มีปริมาณน้ำฝนประมาณ 20-50 นิ้ว (50-125 เซนติเมตร) ทางตอนเหนือและน้อยกว่าหนึ่งนิ้ว (2.5 เซนติเมตร) ทางใต้สุดของประเทศภูมิอากาศ มีทั้งร้อน ร้อนชื้น มีฤดูหนาวปานกลาง ในภูมิภาคที่เป็นภูเขาจะมีฝนและมีหิมะเล็กน้อย ในหุบเขาจอร์แดนอากาศร้อนแห้ง และมีฤดูหนาวที่แสนสบาย ส่วนทางใต้ของประเทศค่อนข้างแห้งแล้ง มีอากาศอบอุ่นถึงร้อนในเวลากลางวัน และอากาศเย็นในเวลากลางคืน

พืชและสัตว์ 
                อิสราเอลมีพืชและสัตว์เป็นจำนวนมากหลายชนิด เนื่องมาจากสถานที่ตั้งของประเทศซึ่งมีความหลากหลายของภูมิประเทศและภูมิอากาศ ในอิสราเอลมีนกมากกว่า 380 ชนิด มีสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมและสัตย์เลื้อยคลานกว่า 150 ชนิด และจำแนกพืชได้มากกว่า 3,000 ชนิด (โดยที่ 150 ชนิดเป็นพืชพื้นเมืองของอิสราเอล)  มีการสร้างอ่างเก็บน้ำตามธรรมชาติถึง 150 แห่ง ทั่วประเทศบนพื้นที่เกือบ 400 ตารางไมล์ (ประมาณ 1,000 ตารางกิโลเมตร)

น้ำ
                ความขาดแคลนน้ำในภูมิภาคนี้ทำให้เกิดความพายามอย่างจริงจังที่จะใช้น้ำให้เกิดประโยชน์ที่สุด และมีการหาแหล่งน้ำใหม่ๆ อยู่เสมอ ในช่วงคริสตทศวรรษที่ 60 อิสราเอลเชื่อแหล่งน้ำจืดเข้าด้วยกัน เส้นเลือดใหญ่หรือระบบส่งน้ำแห่งชาติ ส่งน้ำจากทางเหนือลงมาทางภาคกลางและภาคใต้ที่แห้งแล้ง โครงการเพื่อการใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพหลายโครงการยังดำเนินอยู่ รวมทั้งการทำฝนเทียม การนำน้ำเสียกลับมาใช้ประโยชน์ และการกลั่นน้ำจืดจากทะเล

ประชากร
                อิสราเอลเป็นประเทศของผู้อพยพ นับตั้งแต่การก่อตั้งประเทศเมื่อ พ.ศ.2491 ประชากรของอิสราเอลเติบโตขึ้นถึง 7 เท่า ประชากรกว่า 6 ล้านคนในปัจจุบันเป็นการผสมผสานกันของประชาชนที่มีเชื้อชาติ ภูมิหลัง วิถีชีวิต ศาสนา วัฒนธรรม และขนมธรรมเนียมประเพณีที่ต่างกัน ประมาณร้อยละ 79.2 ของประชากรทั้งหมดเป็นชาวยิว ที่เหลือนอกนั้นอีกร้อยละ 20.8 ส่วนใหญ่เป็นชาวอาหรับ



เมืองสำคัญ
                กรุงเยรูซาเลม เป็นเมืองหลวงของอิสราเอล (ประชากร 633,000 คน) เป็นศูนย์กลางของชาติและศูนย์รวมจิตใจของชาวยิวมาตั้งแต่ครึ่งที่กษัตรยิ์เดวิดได้ทรงสถาปนาเมืองนี้เป็นเมืองหลวงเมื่อกว่า 3,000 ปีมาแล้ว ในปัจจุบันกรุงเยรูซาเล็มเป็นมหานครที่เจริญรุ่งเรืองเป็นเมืองใหญ่ที่สุดของอิสราเอลและเป็นที่ตั้งของรัฐบาล
                 นครเทล อาวีฟ (ประชากร 348,000 คน) ตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ.2452 เป็นเมืองแรกของยุคนี้ที่มีพลเมืองเป็นชาวยิวล้วนๆ ปัจจุบันได้กลายมาเป็นศูนย์กลางของการอุตสาหกรรม การพาณิชย์ การเงินและวัฒนธรรมของประเทศ
                ไฮฟา (ประชากร 265,000 คน) เป็นเมืองชายทะเลซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีมาตั้งแต่สมัยโบราณและเป็นทาเรือสำคัญด้านทะเลเมดิเตอร์เรเนียน นอกจากนั้นยังเป็นศูนย์กลางการอุตสาหกรรมและการพาณิชย์ในภาคเหนือของอิสราเอล
                เบียร์ เชวา (ประชากร 163,000 คน) เป็นเมืองเก่าที่มีชื่อจารึกอยู่ในพระคัมภีร์ไบเบิลมาตั้งแต่สมัยโบราณ ปัจจุบันนี้เป็นเมืองใหญ่ที่สุดทางใต้ของประเทศ ทั้งยังเป็นศูนย์กลางของการปกครอง เศรษฐกิจ สถาบันอนามัยการศึกษา และวัฒนธรรมของพื้นที่ภาคใต้ทั้งหมดด้วย

ระบอบการปกครอง
                อิสราเอลเป็นประเทศประชาธิปไตยที่ใช้ระบบรัฐสภา อำนาจการปกครองแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการ
ประธานาธิดีเป็นประมุขของรัฐที่มีหน้าที่ส่วนใหญ่เป็นเรื่องของพิธีการและทางการ ตำแหน่งนี้เป็นสัญลักษณ์แห่งความสามัคคีในชาติและอยู่เหนือการเมืองที่ใช้ระบบพรรคการเมืองสภาคเนสเซ็ท เป็นอำนาจนิติบัญญัติของอิสราเอล เป็นระบบสภาเดียว มีสมาชิกทั้งหมด 120 คน บริหารงานโดยผ่านการประชุมสภาที่มีคณะกรรมการธิการทั้งหมด 14 คณะ การเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภามีขึ้นทุกๆ 4 ปี ตามระบบการเลือกตั้งทั่วไปที่จัดขึ้นทั่วประเทศ รัฐบาล (คณะรัฐมนตรี) มีหน้าที่บริหารกิจการภายในและการต่างประเทศ โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นผู้นำและรับผิดชอบร่วมกับสภาคเนสเซ็ท

การศึกษาและวิทยาศาสตร์
               การศึกษาภาคบังคับของอิสราเอลอยู่ระหว่างอายุ 5-18 ปี ส่วนเด็กอายุประมาณ 3-4 ปี จะอยู่ในโครงการศึกษาก่อนวัยเรียน เฉลี่ยการเข้ารับการศึกษาของประชาชน คือ 12.1 ปี 
มหาวิทยาในอิสราเอลมีหลายแห่งที่ให้การศึกษาแขนงต่างๆ ทางวิทยาศาสตร์และมนุษยศาสตร์ ทั้งยังเป็นสถาบันวิจัยซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีทั่วโลกวิทยาลัยต่างๆ เปิดสอนทั้งด้านวิชาการและอาชีวะ การวิจัยและการพัฒนาทางด้านวิทยาศาสตร์และสาขาอื่นๆ ที่กระทำกันอย่างจริงจังและก้าวหน้าเป็นอย่างยิ่งเป็นการชดเชยใหกับการขาดแคลนทรัพยากรทางธรรมชาติของอิสราเอล

อุตสาหกรรม
                การอุตสาหกรรมของอิสราเอลจะเน้นด้านการผลิตสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูง โดยเป็นผลิตภัณฑ์ที่มาจากการคิดค้นทางเทคโนโลยี ซึ่งรวมถึงอิเล็กทรอนิกส์ทางการแพทย์ วิทยาการการเกษตร โทรคมนาคม คอมพิวเตอร์ ทั้งฮาร์ดแวร์ และซอฟต์แวร์ พลังงานแสงอาทิตย์ ขบวนการแปรรูปอาหารและเคมีภัณฑ์


เกษตรกรรม
                ความสำเร็จทางการเกษตรของอิสราเอลเป็นผลจากการต่อสู้อันยาวนานต่อสภาพดินฟ้าอากาศที่แปรปรวนและไม่เอื้ออำนวยในการเกษตร รวมทั้งการใช้น้ำที่มีจำนวนจำกัดอย่างคุ้มค่าบนดินแดนอันแห้งแล้ง ปัจจุบันนี้ การเกษตรของอิสราเอลมีสัดส่วนเป็นร้อยละ 2.5 ของรายได้ประชาชาติ และร้อยละ 3.5 ของ
การส่งออก อิสราเอลสามารถผลิตอาหารมาเลี้ยงประชากรได้มากถึงร้อยละ 95 ของความต้องการทั่วประเทศ โดยมีการนำเข้าเมล็ดพันธุ์พืช น้ำมันพืช เนื้อสัตว์ กาแฟ โกโก้ และน้ำตาลจากต่างประเทศ ซึ่งนับว่าเป็นจำนวนไม่มากนักหากจะเทียบกับการส่งออกผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรของอิสราเอลไปต่างประเทศ

การค้าต่างประเทศ
                อิสราเอลทำการค้ากับประเทศต่างๆ ใน 6 ทวีป ร้อยละ 55 ของสินค้านำเข้า และร้อยละ 37 ของสินค้าที่ส่งออกทั้งหมดเป็นการค้ากับประชาคมยุโรป ซึ่งได้มีการลงนามในการเปิดเขตการค้าเสรีเมื่อ พ.ศ.2518 และได้มีการทำสัญญาแบบเดียวกันนี้กับสหรัฐอเมริกาเมื่อปี พ.ศ.2528 การค้าที่ทำกับสหรัฐอเมริกาคิดเป็นร้อยละ 19 ของสินค้านำเข้า และร้อยละ 35 ของสินค้าส่งออกของประเทศ

วัฒนธรรม
                จากประวัติศาสตร์อันยาวนานนับพันๆ ปี การรวมตัวกันของชาวยิวจากทั่วโลกกว่า 70 ประเทศ สังคมที่มีชุมชนหลายเชื้อชาติอยู่เคียงข้างกัน และการหลั่งไหลของวิทยาการจากต่างประเทศผ่านดาวเทียมและเคเบิลทำให้เกิดการพัฒนาทางวัฒนธรรมในอิสราเอล ซึ่งเป็นวัฒนธรรมที่มีส่วนประกอบจากการต่อสู้ที่มีอยู่ทั่วโลก เพื่อให้ได้มาซึ่งความเป็นเอกลักษณ์ ดังนั้นการแสดงออกทางวัฒนะรรมที่ใช้ศิลปะเป็นสื่อจึงมีหลากประเภทเช่นกัน ได้แก่วรรณกรรม การละคร การแสดงดนตรี รายการวิทยุ โทรทัศน์ การบันเทิง ในรูปแบบต่างๆ พิพิธภัณฑ์ และห้องแสดงศิลปะ


อ้างอิง
http://www.gracezone.org/index.php/knowlage/47-2008-12-15-13-16-41